เปิดร้านชาเอง ไม่ต้องพึ่งเเฟรนไชส์

เปิดร้านกาแฟ / นักชงกาแฟ / มือใหม่ / มือเก่า / สูตรชงชา / สูตรกาแฟ/สูตรชา | สูตรชงชา |สูตรชงกาแฟ | สูตรกาแฟ | สูตรกาแฟฟรี | สูตรชาฟรี

เปิดร้านชาเอง ไม่ต้องพึ่งเเฟรนไชส์

เปิดร้านชาเอง ไม่ต้องพึ่งเเฟรนไชส์ เทคนิคเปิดร้านชาราคาเดียวแบบไม่ซื้อแฟรนไชส์  ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หากคิดถึงการลงทุนจะมองที่ระบบแฟรนไชส์เพราะมีข้อดีที่ทำให้ประหยัดเวลาไม่ต้องจัดหาอุปกรณ์เอง มีวัตถุดิบให้พร้อม มีแนะนำการขาย การบริหารจัดการร้าน รวมถึงมีการส่งเสริมการตลาด

เราลองมายกเคสตัวอย่างว่าหากเราคิดจะเปิดร้านเครื่องดื่มประเภทชาราคาเดียวที่ตอนนี้มีแฟรนไชส์มากมายให้เลือกแต่หากเราคิดลงทุนเองจะต้องมีวิธีการเริ่มต้นอย่างไรบ้างเริ่มจากมาดูค่าแฟรนไชส์ของร้านเครื่องดื่มประเภทชาในปัจจุบันที่มีหลายแบรนด์ราคาแตกต่างกันไป อย่างกัตโตะชา ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้นที่ 29,900 บาท , ชาบูลัน 49,900 บาท , ชาไข่มุกไอ-ฉะ 39,000 บาท เป็นต้นซึ่งราคาแฟรนไชส์นี้จะเป็นการรวมอุปกรณ์ตามแพคเกจและวัตถุดิบ พร้อมการสอนเทคนิคการเปิดร้าน การส่งเสริมการตลาด ซึ่งรายละเอียดของแต่ละแฟรนไชส์ว่าผู้ลงทุนต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนไหนเพิ่มเติมบ้างก็เป็นรายละเอียดในสัญญาที่แตกต่างกันไป

เหตุผลที่คนมองว่ายอมจ่ายเงินซื้อแฟรนไชส์ดีกว่านอกจากไม่ต้องมายุ่งยากกับเรื่องอุปกรณ์วัตถุดิบ ยังเป็นเรื่องของรสชาติที่ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกทำเองเพราะแต่ละแฟรนไชส์จะมีสูตรเฉพาะของตัวเองไว้ให้ผู้ลงทุนทำตามได้เลยทันทีแต่หากเราตัดสินใจว่าไม่เอาแน่กับแฟรนไชส์ลองมาดูกันว่าลงทุนเองจะต้องใช้เงินประมาณไหนและจะต้องทำอะไรบ้าง

ไข่มุก เหนียวนุ่ม โฮมเมด

1. คำนวณต้นทุนราคาขาย

เมื่อเรารวมต้นทุนตั้งแต่ต้นว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้างและควรกำหนดราคาขายเท่าไหร่ให้สอดคล้องกัน กลยุทธ์การตลาดคือกำหนดราคาเดียวที่ 25 บาท หากต้นทุนเราไม่แพงมากเฉลี่ยต่อแก้วจะมีต้นทุนประมาณ 13-15 บาทโดยสรุปแล้วงบประมาณในการลงทุนเปิดร้านเองโดยไม่พึ่งแฟรนไชส์หากรวมเอาต้นทุนทุกอย่างมารวมกัน ใช้เงินประมาณ 40,000 บาท (ไม่รวมค่าเช่า) ทีนี้เราก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่าคุ้มค่าและเหมาะสมแค่ไหนข้อดีของการลงทุนเองคือไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติมนอกจากค่าวัตถุดิบที่ต้องซื้อเอง ไม่มีส่วนแบ่งจากยอดขาย (แต่บางแฟรนไชส์ก็ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายส่วนนี้) ก็ต้องมาชั่งใจอีกว่าเราจะยอมรับได้ไหมที่ต้องมาเสียเวลาคิดสูตรการชง ทำตลาด

ชาไทย สูตรเพิ่มยอดขาย

2. คิดสูตรและเมนูที่จะขาย

เมนูหลักๆที่ควรมีทั้งชาเย็น , ชามะนาว , ชาเขียว , กาแฟเย็น , โกโก้ , แดงมะนาวโซดา , นมสด , นมเย็น , โอเลี้ยง ฯลฯ แต่ที่มาแรงสุดๆในปีนี้ก็คือชาไข่มุก หรือชานมไต้หวันนั้นเอง เบ็ดเสร็จคิดมาประมาณ 20 เมนูเป็นอย่างน้อยให้ลูกค้ามีทางเลือก จากนั้นก่อนที่จะขายอย่างเป็นทางการได้เมนูเหล่านี้ก็ต้องมีสูตรเฉพาะตายตัว ที่ชงแต่ละครั้งได้รสชาติที่เหมือนกัน ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ลูกค้าติดใจร้านเราได้ด้วย

ร้านชาถุง

3. วัตถุดิบ

มีทั้งวัตถุดิบทั่วไปหาซื้อได้ในห้างสรรพสินค้าเช่น ผงโกโก้ โอวัลติน เนสกาแฟ น้ำตาลทราย เกลือผง โซดา มะนาว นมสด น้ำหวานเฮลบลูบอย และส่วนที่เป็นวัตถุดิบสำคัญก็คือ “ใบชา” ที่ต้องมีทั้งชาแดง สำหรับทำชาเย็น และชาเขียว การเลือกซื้อใบชา เราต้องศึกษาจากร้านที่มีคุณภาพ ชงแล้วมีรสชาติดี ที่สำคัญเรื่องราคาต้องอย่าให้แพงเกินไปเพราะหมายถึงต้นทุนของเราด้วย

4.อุปกรณ์

เปิดร้านชาอุปกรณ์ที่สำคัญก็เช่น ถังต้มน้ำร้อน ขนาดประมาณ 6.8 ลิตร ที่ควรมี 3 ใบ ไว้สำหรับพักน้ำชา 2 ใบและต้มน้ำร้อน 1 ใบ ราคาใบละประมาณ 2,500 บาทกระติกน้ำร้อน สำหรับใช้ในการละลายวัตถุดิบบางอย่าง ราคาประมาณ 800 บาท เครื่องตีฟองนมไฟฟ้า ที่ควรมี 2 ตัวไว้สำรอง ราคามีตั้งแต่ 900-1,200 บาท แก้วสแตนเลสสำหรับชง ประมาณ 5 ใบ แก้วตวง 6 ออนซ์ (แบบมีสเกล) ประมาณ 4 ใบนอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เพิ่มเติมอื่นๆอีกหลายรายการ เช่น เหยือกชักชา, กระปุกใส่วัตถุดิบ , ที่เปิดกระป๋องนม , ลังใส่น้ำแข็ง , แก้ว 22 ออนซ์ , ถุงหิ้ว , หลอดงอ , ฝาปิดแก้ว ฯลฯ เบ็ดเสร็จเฉพาะเรื่องอุปกรณ์ทั้งหมดที่ควรมีใช้งบลงทุนประมาณ 15,000-20,000 บาท

5. คิดรูปแบบร้าน

จุดเด่นของการซื้อแฟรนไชส์คือ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ คีออส ก็จะมีเอกลักษณ์ของตัวเอง รู้ทันทีว่าเป็นแบรนด์ไหน แต่หากจะสร้างแบรนด์เองแนะนำว่าใช้แบบเคาน์เตอร์จะเริ่มต้นได้ง่ายกว่าและถ้าไม่รู้จะหาเคาน์เตอร์เหล่านี้ได้ที่ไหนลองไปติดต่อสอบถามจากร้านเฟอร์นิเจอร์หรือหาข้อมูลจากแฟรนไชส์ว่ามีร้านไหนที่รับทำซึ่งส่วนใหญ่ราคาของเคาน์เตอร์ก็แตกต่างตามขนาดเริ่มตั้งแต่ 8,000-25,000 ตามแบบที่เราสั่งทำ

เพียงเท่านี้เรียกได้ว่า เป็นเทคนิคเบื้องต้นในการเปิดด้านชาเองง่ายๆ เพื่อนๆคนไหนที่สนใจสามารถปรึกษาข้อมูลกับเราได้ฟรีๆ หรืออ่านบทความอื่นๆ ได้ในหน้า บทความ หรือหากสนใจ สินค้าชา ของเราสามารถสอบถามได้ที่ปุ่มด้านล่างเลยค่ะ