มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน! คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน!

คำนวณต้นทุนกาแฟ ให้เป๊ะ ก่อนเปิดร้าน! Step-by-Step สำหรับมือใหม่

คำนวณต้นทุนกาแฟ ใครที่กำลังฝันอยากจะมีร้านกาแฟเล็ก ๆ เป็นของตัวเองบ้างคะ? ยกมือขึ้นเลย! แน่นอนว่าการเปิดร้านกาแฟมันก็เหมือนกับการเริ่มต้นผจญภัยครั้งใหม่ มีทั้งความตื่นเต้น ความท้าทาย และ…ความกังวลใจ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่หัดขาย หลายคนคงเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า :

  • “ฉันจะตั้งราคาขายกาแฟแก้วละเท่าไหร่ดีนะ?”
  • “ต้นทุนจริง ๆ ของกาแฟแต่ละแก้วมันเท่าไหร่กันแน่?”
  • “แล้วฉันจะต้องขายกี่แก้วถึงจะได้กำไร?”
  • “โอ๊ย! คิดแล้วปวดหัว จะเริ่มยังไงดี?”

ไม่ต้องกังวลไปค่ะ! เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่เจ้าของร้านกาแฟมือใหม่ทุกคนต้องเจอ (และเคยมีผลสำรวจ* บอกว่า ธุรกิจร้านกาแฟเกือบ 60% ต้องปิดตัวลงภายใน 3 ปีแรก เพราะการบริหารจัดการต้นทุนที่ไม่ดีพอ!) แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งถอดใจไปค่ะ วันนี้ Bluemocha จะมาเป็นเพื่อนคู่คิด ช่วยไขข้อข้องใจเรื่องการคำนวณต้นทุนกาแฟให้กระจ่าง!

มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน

ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้วิธี “คำนวณต้นทุนกาแฟ” แบบละเอียดสุด ๆ ชนิดที่ว่าจับมือทำกันทีละขั้นตอนเลยค่ะ ไม่ต้องมีพื้นฐานบัญชี ไม่ต้องเก่งเลข ก็ทำตามได้ง่าย ๆ เพราะเราจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน ไม่ต้องกลัวศัพท์ยาก ๆ หรือสูตรคำนวณที่ชวนปวดหัว รับรองว่าคุณจะสามารถคำนวณต้นทุนกาแฟได้อย่างมืออาชีพ พร้อมที่จะวางแผนการเงินและตั้งราคาขายได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวขาดทุนอีกต่อไป!

มาถึงส่วนสำคัญที่เราจะคุยกันว่า… ทำไมเราต้องมานั่งปวดหัวกับการคำนวณต้นทุนกาแฟด้วยนะ? มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ? คำตอบสั้น ๆ คือ “จำเป็นมาก!” การคำนวณต้นทุนกาแฟที่ถูกต้อง เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่จะทำให้ร้านกาแฟของเราอยู่รอดและเติบโตได้ ถ้าหัวใจไม่แข็งแรง ร่างกายก็แย่ ธุรกิจก็เหมือนกันค่ะ ถ้าเราไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง เราก็เหมือนเดินเรือในทะเลโดยไม่มีเข็มทิศ ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะไปถึงฝั่งรึเปล่า

ลองคิดดู ถ้าเราคำนวณต้นทุนผิดพลาด จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?

  • ตั้งราคาขายต่ำเกินไป : ลูกค้าชอบใจ ได้กาแฟราคาถูก แต่…เดี๋ยวก่อน! เรากำลังขายกาแฟเอากำไร หรือขายเอาบุญคะ? ถ้าต้นทุนจริง ๆ สูงกว่าราคาขาย สุดท้ายเราก็ ขาดทุน ค่ะ
  • ตั้งราคาขายสูงเกินไป : คราวนี้กลับกัน เราอยากได้กำไรเยอะ ๆ เลยตั้งราคาสูงลิ่ว แต่…ลูกค้าหายหมด! ใครจะอยากซื้อกาแฟแพง ๆ ถ้ามีร้านอื่นที่อร่อยและราคาถูกกว่า?
  • ไม่รู้จุดคุ้มทุน : เคยสงสัยไหมคะว่า เราต้องขายกาแฟให้ได้กี่แก้วต่อวัน ถึงจะเริ่มมีกำไร? ถ้าไม่รู้ต้นทุน ก็ไม่รู้จุดคุ้มทุน แล้วเราจะวางแผนธุรกิจยังไง?
  • ไม่รู้จะลดต้นทุนตรงไหน : ถ้าต้นทุนสูงเกินไป เราจะทำยังไง? จะลดคุณภาพเมล็ดกาแฟ? ลดปริมาณนม? หรือขึ้นราคา? ถ้าไม่รู้รายละเอียดต้นทุน ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาตรงไหน

ตัวอย่างสถานการณ์ (ให้เห็นภาพชัดเจน) :

  • ร้าน A : เจ้าของร้านเป็นคนใจดี อยากขายกาแฟราคาถูกให้ทุกคนได้ดื่ม เลยไม่ได้คำนวณต้นทุนละเอียด คิดแค่ว่าขายถูก ๆ น่าจะมีลูกค้าเยอะ สุดท้าย…เจ๊ง! เพราะต้นทุนวัตถุดิบสูงกว่าราคาขาย
  • ร้าน B : เจ้าของร้านละเอียดรอบคอบ คำนวณต้นทุนกาแฟทุกแก้วอย่างแม่นยำ ทำให้รู้ว่าควรตั้งราคาขายเท่าไหร่ถึงจะมีกำไร และยังสามารถวางแผนลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นได้ ทำให้ร้านมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน

ก่อนที่เราจะไปลงลึกถึงวิธีการคำนวณ เรามาทำความรู้จักกับ “ต้นทุน” กันก่อนค่ะ ต้นทุนในการทำร้านกาแฟเนี่ย มันไม่ได้มีแค่ค่าเมล็ดกาแฟนะคะ แต่มันมีอะไรที่ซ่อนอยู่อีกเยอะเลย! ซึ่งเราสามารถแบ่งต้นทุนออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) :
    • ความหมาย : ต้นทุนคงที่ คือ ค่าใช้จ่ายที่เรา ต้องจ่ายเท่าเดิมทุกเดือน ไม่ว่าเราจะขายกาแฟได้มากี่แก้ว หรือไม่ได้ขายเลยสักแก้วก็ตาม! เหมือนกับค่าเช่าบ้านที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ไม่ว่าเดือนนั้นเราจะอยู่บ้านหรือไม่ก็ตาม
    • ตัวอย่าง :
      • ค่าเช่าร้าน : ไม่ว่าร้านเราจะขายดีแค่ไหน เราก็ต้องจ่ายค่าเช่าเท่าเดิมทุกเดือน
      • เงินเดือนบาริสต้า (พนักงานประจำ) : เราจ้างพนักงานเป็นรายเดือน ก็ต้องจ่ายเงินเดือนเท่าเดิมทุกเดือน
      • ค่าเครื่องชงกาแฟ, เครื่องบด : เราซื้อเครื่องมาแล้ว ก็ต้องผ่อนจ่าย (ถ้ามี) หรือคิดเป็นค่าเสื่อมราคา ซึ่งถือเป็นต้นทุนคงที่
      • ค่าเฟอร์นิเจอร์ : โต๊ะ, เก้าอี้, เคาน์เตอร์ พวกนี้เราซื้อครั้งเดียว แต่ก็ถือเป็นต้นทุน (คิดค่าเสื่อมราคา)
      • ค่าอินเทอร์เน็ต : ส่วนใหญ่เป็นแพ็กเกจรายเดือน
  2. ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) :
    • ความหมาย : ต้นทุนผันแปร คือ ค่าใช้จ่ายที่ เปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนแก้ว ที่เราขายได้ ถ้าขายได้เยอะ ต้นทุนส่วนนี้ก็จะเยอะตาม ถ้าขายได้น้อย ต้นทุนส่วนนี้ก็จะน้อยตาม
    • ตัวอย่าง :
      • เมล็ดกาแฟ : ยิ่งขายกาแฟได้เยอะ ก็ต้องใช้เมล็ดกาแฟเยอะ
      • นม : ใช้มากในเมนูลาเต้, คาปูชิโน่
      • น้ำเชื่อม/ไซรัป : เพิ่มความหวาน/กลิ่นให้กาแฟ
      • แก้ว, หลอด, ฝา : ใช้แล้วทิ้ง ต้องซื้อเพิ่มเรื่อย ๆ
      • น้ำแข็ง : ยิ่งขายเครื่องดื่มเย็นได้เยอะ ก็ต้องใช้น้ำแข็งเยอะ
      • น้ำตาล : บางคนชอบเติมเพิ่ม

วิธีแยกแยะต้นทุนคงที่ vs. ต้นทุนผันแปร (ง่าย ๆ) :

  • คำถามหลัก : “ถ้าเดือนนี้เราไม่ขายกาแฟเลย เรายังต้องจ่ายเงินก้อนนี้อยู่ไหม?”
    • ถ้า “ใช่” = ต้นทุนคงที่
    • ถ้า “ไม่” = ต้นทุนผันแปร

ตารางเปรียบเทียบ :

ต้นทุนคำอธิบายตัวอย่าง
ต้นทุนคงที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนแก้วที่ขาย
ค่าเช่าร้าน, เงินเดือนพนักงานประจำ, ค่าเครื่องชง, ค่าเฟอร์นิเจอร์, ค่าอินเทอร์เน็ต
ต้นทุนผันแปรค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนแก้วที่ขายเมล็ดกาแฟ, นม, น้ำเชื่อม, แก้ว, หลอด, ฝา, น้ำแข็ง, น้ำตาล, ครีมเทียม, ท็อปปิ้ง

เอาล่ะค่ะ! ถึงเวลามาลงรายละเอียดเรื่องวัตถุดิบที่เราใช้ทำกาแฟกันแล้ว วัตถุดิบแต่ละอย่างก็มีผลต่อรสชาติและต้นทุนของเรานะคะ เรามาดูกันทีละตัวเลย :

  • เมล็ดกาแฟ :
    • อาราบิก้า (Arabica): หอม นุ่ม กลมกล่อม ราคาสูงกว่า
    • โรบัสต้า (Robusta): เข้ม ขม บอดี้หนัก ราคาถูกกว่า
    • (ร้านส่วนใหญ่มักใช้ผสมกัน เพื่อให้ได้รสชาติที่ลงตัวและคุมต้นทุนได้)
  • แหล่งซื้อ :
    • ร้านขายส่ง : เหมาะสำหรับซื้อปริมาณมาก ๆ จะได้ราคาถูกลง
    • โรงคั่วกาแฟ : ได้เมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ คุณภาพดี อาจมีราคาสูงกว่า
    • ตลาด/ซูเปอร์มาร์เก็ต : สะดวก แต่ราคาอาจสูงกว่า
  • วิธีคำนวณต้นทุนเมล็ดกาแฟต่อแก้ว (ตัวอย่าง) :
    • สมมติ : เราใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้า 20 กรัมต่อแก้ว
    • เมล็ดกาแฟ 1 กิโลกรัม (1000 กรัม) ราคา 350 บาท
    • สูตร : (ปริมาณที่ใช้ต่อแก้ว / ปริมาณทั้งหมด) * ราคา
    • คำนวณ : (20 กรัม / 1000 กรัม) * 350 บาท = 7 บาท
    • ดังนั้น : ต้นทุนเมล็ดกาแฟต่อแก้ว = 7 บาท
  • น้ำเชื่อม/ไซรัป :
    • ทำเอง : ประหยัดกว่า (ใช้น้ำตาล, น้ำ, และอาจมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น วานิลลา)
    • ซื้อสำเร็จ : สะดวก รวดเร็ว (มีหลายรสชาติให้เลือก)
  • วิธีคำนวณต้นทุนน้ำเชื่อมต่อแก้ว (ตัวอย่าง) :
    • สมมติ : เราใช้น้ำเชื่อม 30 ml ต่อแก้ว
    • น้ำเชื่อม 1 ลิตร (1000 ml) ราคา 80 บาท
    • สูตร : (ปริมาณที่ใช้ต่อแก้ว / ปริมาณทั้งหมด) * ราคา
    • คำนวณ : (30 ml / 1000 ml) * 80 บาท = 2.4 บาท
    • ดังนั้น : ต้นทุนน้ำเชื่อมต่อแก้ว = 2.4 บาท
  • แก้ว/หลอด/ฝา :
    • แก้วพลาสติก : ราคาถูก
    • แก้วกระดาษ : รักษ์โลก ราคาสูงกว่า
    • หลอด : พลาสติก, กระดาษ, สแตนเลส
    • ฝา : แบบเรียบ, โดม
  • วิธีคำนวณต้นทุนต่อแก้ว (ง่ายมาก) : หาราคาต่อหน่วย (เช่น แก้วใบละ 2 บาท, หลอดอันละ 0.5 บาท)
  • อื่น ๆ
    • น้ำแข็ง : คำนวนจากปริมาณการใช้ต่อแก้ว คูณ ราคาน้ำแข็งต่อหน่วย
    • น้ำตาล : คำนวนจากปริมาณการใช้ต่อแก้ว คูณ ราคาน้ำตาลต่อหน่วย
    • ท็อปปิ้ง : คำนวนจากปริมาณการใช้ต่อแก้ว คูณ ราคาวัตถุดิบต่อหน่วย

สูตรคำนวณต้นทุนวัตถุดิบต่อแก้ว :

(ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ต่อแก้ว / ปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด) * ราคาวัตถุดิบทั้งหมด

ตัวอย่างการคำนวณ : “กาแฟลาเต้เย็น”

  1. เมล็ดกาแฟ : (ตามตัวอย่างข้างบน) = 7 บาท
  2. นมสด : (ตามตัวอย่างข้างบน) = 7.5 บาท
  3. น้ำเชื่อม : (ตามตัวอย่างข้างบน) = 2.4 บาท
  4. แก้ว : สมมติ 2 บาท
  5. หลอด : สมมติ 0.5 บาท
  6. ฝา : สมมติ 1 บาท
  7. น้ำแข็ง : สมมติ 1 บาท
  8. อื่น ๆ : ไม่มี

รวมต้นทุนวัตถุดิบ : 7 + 7.5 + 2.4 + 2 + 0.5 + 1 + 1 = 21.4 บาท ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบสำหรับกาแฟลาเต้เย็น 1 แก้ว = 21.4 บาท

ก่อนอื่น… มาทบทวนกันสักนิดนะคะ! เราได้เรียนรู้เรื่องต้นทุน 2 ประเภทไปแล้ว คือ :

  • ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) : ค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ไม่ว่าจะขายได้กี่แก้วก็ต้องจ่ายเท่าเดิม (เช่น ค่าเช่า, เงินเดือนพนักงาน)
  • ต้นทุนผันแปร (Variable Costs) : ค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามจำนวนแก้วที่ขาย (เช่น ค่าเมล็ดกาแฟ, นม, น้ำเชื่อม)

สูตรคำนวณต้นทุนกาแฟต่อแก้ว (แบบรวม) :

ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว = ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว + (ต้นทุนคงที่รวมต่อเดือน / จำนวนแก้วที่คาดว่าจะขายได้ต่อเดือน)

มาดูวิธีคำนวณทีละขั้นตอนกันเลย :

Step 1 : คำนวณต้นทุนผันแปรต่อแก้ว

  • ขั้นตอนนี้เราได้ทำไปแล้วในหัวข้อ “เจาะลึก! วัตถุดิบกาแฟแต่ละชนิด…” นะคะ
  • ทบทวน : ให้เราทำรายการวัตถุดิบที่ใช้ทำกาแฟ 1 แก้ว แล้วคำนวณต้นทุนของวัตถุดิบแต่ละอย่างออกมา จากนั้นนำต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมดมารวมกัน ก็จะได้ “ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว” ค่ะ

Step 2 : รวมต้นทุนคงที่ทั้งหมดต่อเดือน

  • ทำรายการค่าใช้จ่าย “คงที่” ทั้งหมดของร้านเราใน 1 เดือน (ย้ำว่า ต่อเดือน)
  • ตัวอย่าง :
    • ค่าเช่าร้าน : 10,000 บาท
    • เงินเดือนบาริสต้า : 12,000 บาท
    • ค่าอินเทอร์เน็ต : 500 บาท
    • ค่าเสื่อมราคาเครื่องชงกาแฟ/เครื่องบด (คิดเป็นรายเดือน) : 500 บาท
    • ค่าทำการตลาด (ถ้ามี) : 1,000 บาท
    • รวม : 24,000 บาท

Step 3 : ประมาณการยอดขาย (จำนวนแก้วต่อเดือน)

  • ขั้นตอนนี้สำคัญมากกกก! เพราะถ้าเราประมาณการผิดพลาด ต้นทุนต่อแก้วที่คำนวณได้ก็จะคลาดเคลื่อนไปด้วยค่ะ
  • วิธีประมาณการ (ให้ใกล้เคียงความเป็นจริง) :
    • ดูจากทำเลที่ตั้งร้าน : ร้านเราอยู่ในย่านที่มีคนพลุกพล่านไหม? ใกล้ অফিস, โรงเรียน, หรือแหล่งชุมชนรึเปล่า?
    • ดูจากคู่แข่ง : ร้านกาแฟอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน เขาขายได้ประมาณกี่แก้วต่อวัน?
    • ดูจากฤดูกาล : ช่วงเปิดเทอม, ปิดเทอม, หรือช่วงเทศกาล ยอดขายอาจจะแตกต่างกัน
    • ตั้งเป้าหมาย : เราอยากขายให้ได้กี่แก้วต่อวัน? (ต้องดูความเป็นไปได้ด้วยนะคะ)
  • ตัวอย่าง : สมมติว่าเราประมาณการว่าจะขายกาแฟได้วันละ 50 แก้ว
    • ใน 1 เดือน (30 วัน) จะขายได้ประมาณ: 50 แก้ว/วัน * 30 วัน = 1,500 แก้ว

Step 4 : แทนค่าในสูตร และคำนวณ

  • ตอนนี้เรามีข้อมูลครบแล้ว ก็เอามาแทนค่าในสูตรได้เลย :

ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว = ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว + (ต้นทุนคงที่รวมต่อเดือน / จำนวนแก้วที่คาดว่าจะขายได้ต่อเดือน)

  • จากตัวอย่าง :
    • ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว (กาแฟลาเต้เย็น) = 21.4 บาท
    • ต้นทุนคงที่รวมต่อเดือน = 24,000 บาท
    • จำนวนแก้วที่คาดว่าจะขายได้ต่อเดือน = 1,500 แก้ว
  • คำนวณ :
    • ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว = 21.4 + (24,000 / 1,500)
    • ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว = 21.4 + 16
    • ต้นทุนกาแฟต่อแก้ว = 37.4 บาท

ดังนั้น : ต้นทุนรวมของกาแฟลาเต้เย็น 1 แก้ว (โดยประมาณ) = 37.4 บาท

รายการต้นทุน (ต่อเดือน) :

  • ต้นทุนคงที่ :
    • ค่าเช่าร้าน 8,000 บาท
    • เงินเดือนพนักงาน (1 คน) 10,000 บาท
    • ค่าอินเทอร์เน็ต 600 บาท
    • ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ (เครื่องชง, เครื่องบด, ตู้เย็น) 800 บาท
    • ค่าทำการตลาด (โปรโมทผ่านโซเชียลมีเดีย) 500 บาท
    • รวมต้นทุนคงที่ : 19,900 บาท
  • ต้นทุนผันแปร (ต่อแก้ว) :
    • กาแฟร้อน (เอสเพรสโซ) :
      • เมล็ดกาแฟ 6 บาท
      • แก้ว+ฝา 1.5 บาท
      • รวม 7.5 บาท
    • กาแฟเย็น (ลาเต้) :
      • เมล็ดกาแฟ 6 บาท
      • นม 7 บาท
      • น้ำเชื่อม 2 บาท
      • แก้ว+หลอด+ฝา 3 บาท
      • น้ำแข็ง 1 บาท
      • รวม: 19 บาท
    • ชาเขียวมัทฉะลาเต้เย็น :
      • ผงมัทฉะ 10 บาท
      • นม 7 บาท
      • น้ำเชื่อม 2 บาท
      • แก้ว+หลอด+ฝา 3 บาท
      • น้ำแข็ง 1 บาท
      • รวม : 23 บาท
  • ยอดขายที่คาดการณ์ (ต่อเดือน) :
    • กาแฟร้อน 500 แก้ว
    • กาแฟเย็น 800 แก้ว
    • ชาเขียวมัทฉะลาเต้ 300 แก้ว
    • รวม : 1,600 แก้ว

คำนวณต้นทุนกาแฟต่อแก้ว (เฉลี่ย) :

เนื่องจากร้านมีเมนูหลากหลาย เราจะคำนวณต้นทุนเฉลี่ยต่อแก้ว โดยถ่วงน้ำหนักตามสัดส่วนยอดขาย

  1. คำนวณต้นทุนผันแปรรวม :
    • กาแฟร้อน 500 แก้ว * 7.5 บาท/แก้ว = 3,750 บาท
    • กาแฟเย็น 800 แก้ว * 19 บาท/แก้ว = 15,200 บาท
    • ชาเขียว 300 แก้ว * 23 บาท/แก้ว = 6,900 บาท
    • รวมต้นทุนผันแปรรวม: 3,750 + 15,200 + 6,900 = 25,850 บาท
  2. คำนวณต้นทุนผันแปรเฉลี่ยต่อแก้ว :
    • 25,850 / 1600 = 16.16 บาท
  3. คำนวณต้นทุนรวมต่อแก้ว (เฉลี่ย) :
    • ต้นทุนรวมต่อแก้ว = ต้นทุนผันแปรเฉลี่ยต่อแก้ว + (ต้นทุนคงที่รวม / จำนวนแก้วที่คาดว่าจะขาย)
    • ต้นทุนรวมต่อแก้ว = 16.16 + (19,900 / 1,600)
    • ต้นทุนรวมต่อแก้ว = 16.16 + 12.44
    • ต้นทุนรวมต่อแก้ว (เฉลี่ย) = 28.60 บาท

วิเคราะห์ผลลัพธ์ :

  • ต้นทุนกาแฟเฉลี่ยต่อแก้ว อยู่ที่ประมาณ 28.60 บาท
  • ควรปรับปรุงตรงไหน?
    • ต้นทุนวัตถุดิบ : ลองเปรียบเทียบราคาเมล็ดกาแฟจากหลาย ๆ แหล่ง อาจจะหา supplier ที่ให้ราคาดีกว่าได้
    • ต้นทุนคงที่ : ค่าทำการตลาด 500 บาท อาจจะน้อยไป ลองเพิ่มงบประมาณ หรือหาช่องทางโปรโมทอื่น ๆ ที่คุ้มค่ากว่า
    • ยอดขาย : 1,600 แก้วต่อเดือน ถือว่าไม่มากไม่น้อยสำหรับร้านในย่านมหาวิทยาลัย อาจจะต้องจัดโปรโมชั่น หรือเพิ่มเมนูที่น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นยอดขาย
    • ราคาขาย : ต้องนำต้นทุน 28.60 บาท ไปบวกกำไรที่ต้องการ แล้วดูว่าราคาขายนั้นแข่งขันได้หรือไม่

หวังว่า Case Study นี้จะช่วยให้เห็นภาพ “คำนวณต้นทุนกาแฟ” และการนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงร้านได้ชัดเจนขึ้นนะคะ!

รู้ต้นทุนแล้ว…ก็ต้องรู้จักวิธีลดต้นทุน เพิ่มกำไรด้วย! มาดูเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทำตามได้จริงกัน

มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน
  1. ซื้อวัตถุดิบราคาส่ง
    • ทำไมต้องซื้อส่ง? เพราะยิ่งซื้อเยอะ ราคาก็ยิ่งถูกลง!
    • แหล่งซื้อ :
      • แม็คโคร (Makro) : เหมาะสำหรับซื้อวัตถุดิบจำนวนมาก ๆ
      • ร้านขายส่งวัตถุดิบกาแฟโดยเฉพาะ : ลองค้นหาใน Google หรือสอบถามจากร้านกาแฟอื่น ๆ ดูค่ะ
      • โรงคั่วกาแฟ : บางโรงคั่วมีบริการขายส่งเมล็ดกาแฟคั่ว
      • ตลาดสด (บางแห่ง) : อาจมีร้านขายเมล็ดกาแฟ, นม, น้ำเชื่อม ในราคาที่ถูกกว่า
    • วิธีเปรียบเทียบราคา :
      • อย่าเพิ่งรีบซื้อ! ลองเปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ แหล่ง
      • ดูปริมาณขั้นต่ำในการสั่งซื้อ (บางร้านอาจต้องซื้อเยอะมากถึงจะได้ราคาส่ง)
      • คำนวณราคาต่อหน่วย (เช่น บาท/กิโลกรัม, บาท/ลิตร) เพื่อเปรียบเทียบ
    • (รูปภาพ: อาจเป็นรูปใบเสนอราคาจาก supplier หลาย ๆ เจ้า)
  2. ลด Food Waste (ของเสีย)
    • Food Waste คืออะไร? คือ วัตถุดิบที่เหลือทิ้งโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น เมล็ดกาแฟที่ชื้น, นมที่หมดอายุ, น้ำแข็งที่ละลาย
    • บริหารสต็อกวัตถุดิบ :
      • ทำบัญชีรายการวัตถุดิบ (เข้า-ออก)
      • ใช้ระบบ FIFO (First-In, First-Out) ของที่ซื้อมาก่อน ต้องใช้ก่อน
      • ตรวจเช็กวันหมดอายุของวัตถุดิบเป็นประจำ
    • ควบคุมคุณภาพ :
      • เก็บรักษาวัตถุดิบให้ถูกวิธี (เช่น เมล็ดกาแฟต้องเก็บในที่แห้งและเย็น)
      • ฝึกอบรมพนักงานให้ชงกาแฟอย่างถูกต้อง (ไม่ตักวัตถุดิบเกิน/ขาด)
    • (รูปภาพ: อาจเป็นรูปตู้เย็นที่จัดเก็บวัตถุดิบอย่างเป็นระเบียบ)
  3. ใช้สูตรที่แน่นอน :
    • ทำไมต้องมีสูตร? เพื่อให้กาแฟทุกแก้วมีรสชาติคงที่ และควบคุมปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ได้
    • สร้างสูตรมาตรฐาน :
      • ทดลองชงกาแฟหลาย ๆ ครั้ง จนได้รสชาติที่ลงตัว
      • จดบันทึกปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ (เป็นกรัม, มิลลิลิตร)
      • ทำเป็นคู่มือให้พนักงานทำตาม
    • ลดความผิดพลาด :
      • ใช้เครื่องชั่ง, ถ้วยตวง ในการตวงวัตถุดิบ
      • ไม่ใช้ “กะ ๆ เอา” เพราะจะทำให้รสชาติเพี้ยน และสิ้นเปลืองวัตถุดิบ
    • (รูปภาพ: อาจเป็นรูปสูตรกาแฟ หรือรูปบาริสต้ากำลังชั่งตวงวัตถุดิบ)
  4. เจรจาต่อรองกับ Supplier
    • อย่ากลัวที่จะต่อรอง! ถ้าเราซื้อวัตถุดิบเป็นประจำ ลองขอส่วนลด หรือขอราคาพิเศษดูค่ะ
    • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี :
      • พูดคุยกับ supplier อย่างสุภาพ
      • จ่ายเงินตรงเวลา
      • อาจมีของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ในโอกาสพิเศษ
  5. หาทางเพิ่มยอดขาย :
    • โปรโมชั่น :
      • ซื้อ 1 แถม 1, ลดราคาในช่วงเวลาที่คนน้อย, สะสมแต้มแลกของรางวัล
      • (รูปภาพ: อาจเป็นรูปป้ายโปรโมชั่นหน้าร้าน)
    • เมนูพิเศษ :
      • สร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ (เช่น กาแฟตามฤดูกาล, เครื่องดื่ม Signature)
      • เพิ่มเมนูอาหาร/ขนม (เช่น เค้ก, ครัวซองต์, แซนวิช)
    • บริการที่ดี :
      • พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส, บริการรวดเร็ว, ใส่ใจลูกค้า
      • สร้างบรรยากาศร้านให้น่านั่ง
    • ช่องทางออนไลน์ :
      • ขายผ่านแอปฯ Delivery (Grab, Lineman, Foodpanda)
      • โปรโมทร้านผ่าน Social Media (Facebook, Instagram)

ก่อนจะไปลุยเปิดร้านกันจริง ๆ ขอแวะมาบอกข้อควรระวัง และเคล็ดลับเล็กๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยให้การคำนวณต้นทุนของเราแม่นยำ และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

  1. อย่าลืมคิดค่าเสื่อมราคาของอุปกรณ์
    • ค่าเสื่อมราคาคืออะไร? อุปกรณ์ต่างๆ ในร้านของเรา เช่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องบด ตู้เย็น มันไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดกาลนะคะ มันมีอายุการใช้งาน เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลง เราเรียกว่า “ค่าเสื่อมราคา”
    • ทำไมต้องคิด? เพราะมันคือ “ต้นทุนแฝง” ที่หลายคนมองข้าม ถ้าไม่คิดค่าเสื่อมราคา ต้นทุนที่คำนวณได้ก็จะต่ำกว่าความเป็นจริง
    • วิธีคิด (แบบง่าย) :
      • ค่าเสื่อมราคาต่อปี = (ราคาอุปกรณ์ – ราคาซาก) / อายุการใช้งาน (ปี)
      • ค่าเสื่อมราคาต่อเดือน = ค่าเสื่อมราคาต่อปี / 12
      • ตัวอย่าง : เครื่องชงกาแฟราคา 50,000 บาท อายุการใช้งาน 5 ปี (ไม่มีราคาซาก)
        • ค่าเสื่อมราคาต่อปี = 50,000 / 5 = 10,000 บาท
        • ค่าเสื่อมราคาต่อเดือน = 10,000 / 12 = 833.33 บาท
  2. ปรับปรุงสูตรคำนวณเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาวัตถุดิบ
    • ราคาวัตถุดิบไม่คงที่! บางช่วงอาจจะถูก บางช่วงอาจจะแพง (เช่น ช่วงเทศกาล, ช่วงขาดแคลน)
    • ต้องทำยังไง?
      • หมั่นตรวจสอบราคาวัตถุดิบจาก supplier เป็นประจำ
      • เมื่อราคาวัตถุดิบเปลี่ยนไป ให้ปรับปรุงสูตรคำนวณต้นทุนของเราด้วย
      • อาจจะทำตารางเปรียบเทียบราคาวัตถุดิบจากหลายๆ แหล่ง
    • (รูปภาพ: อาจเป็นรูปกราฟแสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบ)
  3. คำนวณต้นทุนสำหรับเมนูอื่น ๆ ด้วย
    • อย่าคำนวณแค่เมนูเดียวนะคะ! ร้านเราไม่ได้มีแค่กาแฟลาเต้เย็น (จากตัวอย่าง) ใช่ไหม?
    • ทำยังไง?
      • ใช้สูตรเดียวกัน (ที่เราได้เรียนรู้กันไป) ในการคำนวณต้นทุนของทุกๆ เมนู
      • ทำตารางแยกแต่ละเมนู จะได้เห็นภาพชัดเจน
  4. ติดตามและปรับปรุงการคำนวณต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ
    • การคำนวณต้นทุนไม่ใช่ทำครั้งเดียวจบ! เราต้องทำอย่างต่อเนื่อง
    • ทำไม?
      • เพื่อให้รู้สถานะทางการเงินของร้านอยู่เสมอ
      • เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการร้านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
      • เพื่อหาทางลดต้นทุน เพิ่มกำไร
    • ทำเมื่อไหร่?
      • อย่างน้อยเดือนละครั้ง
      • หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (เช่น เปลี่ยน supplier, เพิ่มเมนูใหม่)

หวังว่าข้อควรระวังและเคล็ดลับเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ! การทำธุรกิจร้านกาแฟต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดจริง ๆ

มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน

มาถึงตรงนี้… หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะเห็นแล้วว่า การ “คำนวณต้นทุนกาแฟ” ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยใช่ไหมคะ? จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ สำคัญมาก ๆ สำหรับการทำร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าเราไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง เราก็จะไม่สามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้ และอาจจะทำให้เราขาดทุนโดยไม่รู้ตัว

สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกว่า… “ฉันอยากมีชาที่เป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์ตัวเอง ไม่เหมือนใคร!” Bluemocha ไม่ได้เป็นแค่โรงงานผลิตชา แต่เรายังเป็น “เพื่อนคู่คิด” ที่พร้อมจะช่วยพัฒนาสูตรชาให้ตรงใจคุณที่สุด ด้วยบริการ ODM (Original Design Manufacturer) ที่ให้คุณสามารถ :

  • ร่วมออกแบบสูตรชา : บอกความต้องการของคุณ (รสชาติ, กลิ่น, ความเข้ม) แล้วให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราช่วยปรับสูตรให้ลงตัว
  • เลือกวัตถุดิบคุณภาพ : เรามีใบชาหลากหลายชนิด ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ให้คุณเลือกสรร
  • สร้างความแตกต่าง : มีชาที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณเอง โดดเด่นไม่ซ้ำใคร

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือมีประสบการณ์มาแล้ว Bluemocha ก็พร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยให้ธุรกิจชาของคุณเติบโต ด้วยบริการ OEM&ODM ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอน

มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน
  • ประหยัดต้นทุน : ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงานเอง
  • ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ : ทีมงานของเรามีประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษา
  • คุณภาพดี : ผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานสากล (GMP, HACCP, ISO)
  • ยืดหยุ่น : ปรับเปลี่ยนสูตรและบรรจุภัณฑ์ได้ตามต้องการ
  • รวดเร็ว : ผลิตและจัดส่งสินค้าตรงเวลา

นอกจากบริการผลิตชาภายในประเทศแล้ว Bluemocha ยังมีบริการส่งออกใบชาไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะชาเขียวและชาไทย ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดโลก เราคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่งปลูกชาคุณภาพ และใช้กระบวนการผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้มั่นใจว่าชาของเรามีรสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด พร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดสากล

  • แจ้งความต้องการ : บอกเราว่าคุณอยากได้ชาแบบไหน หรือส่งตัวอย่างชามาให้เรา
  • พัฒนาสูตร : ทีมงานของเราจะจัดส่งตัวอย่างให้คุณทดลอง จนกว่าจะได้รสชาติที่ถูกใจ
  • ออกแบบบรรจุภัณฑ์ : เลือกรูปแบบ, วัสดุ, และออกแบบฉลากสินค้า
  • ผลิตและจัดส่ง : ชำระเงิน, รอรับสินค้า, และเริ่มจำหน่ายได้เลย!

Bluemocha ใบชาหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เรามีใบชาให้เลือกมากกว่า 40 รายการ ทั้งชาไทย, ชาเขียว, ชาไต้หวัน, ชาดอกไม้, และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าคุณจะอยากทำชาแบบไหน เราก็มีวัตถุดิบพร้อม! Bluemocha จัดส่งรวดเร็ว บริการครบวงจร เรามีบริการจัดส่งสินค้าที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมบริการรับสร้างแบรนด์ชาแบบครบวงจร ให้คำปรึกษาตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงการส่งออก

มือใหม่หัดเปิดร้านกาแฟ ต้องอ่าน คำนวณต้นทุนกาแฟ ทำตามง่าย Step-by-Step พร้อมสูตร, และเคล็ดลับ ช่วยให้คุณตั้งราคาขายได้เป๊ะ ไม่ขาดทุน

ให้ Bluemocha ดูแลธุรกิจของคุณ เปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิดของคุณ

Other Blogs