ข้อแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วทั้ง 3 ระดับ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม

ข้อแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วทั้ง 3 ระดับ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม

ข้อแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วทั้ง 3 ระดับ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม ทำไมถึงต่าง ต่างกันแบบไหน

รู้หรือไม่ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม ต่างกันอย่างไร

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมเวลาเราไปซื้อกาแฟ ผู้ขายมักจะถามเราเสมอว่าเราต้องการกาแฟแบบไหน?  ต้องการกาแฟคั่วอ่อน กาแฟคั่วกลาง หรือกาแฟคั่วเข้ม? แล้วมันแตกต่างกันอย่างไรล่ะ?

ข้อแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วทั้ง 3 ระดับ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม

Light Roast (กาแฟคั่วอ่อน) – Medium Roast (กาแฟคั่วกลาง) – Dark Roast (กาแฟคั่วเข้ม)

          หมายถึง ‘ระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้กาแฟแต่ละแก้วมีรสชาติที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่กาแฟมีรสเปรี้ยว ขม เค็ม หรือแม้แต่มีกลิ่นไหม้แซมขึ้นมา

          แต่ก่อนที่เราจะเล่าถึงระดับเหล่านี้ ขอให้เข้าใจก่อนว่า ‘เมล็ดกาแฟ’ ที่เห็นเป็นเมล็ดสีน้ำตาลเข้มเหล่านี้นั้น แท้จริงแล้วมันคือผลไม้ชนิดหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ‘เชอร์รี่กาแฟ (Coffee Cherry)’ ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อผลของเชอร์รี่กาแฟสุกจะมีสีแดงสด จากนั้นเราจึงจะนำผลไม้ชนิดนี้มาเข้าสู่กระบวนการแปรรูปและกระบวนการคั่วต่อไป

ดังนั้นนอกจากคำว่ากาแฟคั่วอ่อน กาแฟคั่วกลาง และกาแฟคั่วเข้ม ท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘สารกาแฟ (Green Coffee) หรือสารดิบ’ ซึ่งหมายถึง เมล็ดกาแฟที่ยังไม่ผ่านการคั่วนั่นเอง โดยสารกาแฟนี้จะมีลักษณะเป็นเมล็ดสีเขียวอ่อนที่ยังนำมาชงสกัดไม่ได้ แต่เมื่อเราเริ่มใช้ความร้อนเพื่อคั่วกาแฟแล้ว กาแฟจะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากสีเขียว เป็นสีน้ำตาลอ่อน โดยที่ผิวเมล็ดยังแห้งอยู่ และถ้าคั่วต่อไปเรื่อยๆ สีเมล็ดกาแฟจะเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีน้ำตาลแก่และมีน้ำมันออกมาเคลือบผิวของเมล็ดกาแฟไว้ โดยเราสามารถแบ่งระดับทั้งหมดได้ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้ กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast), กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast) และกาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast)

กาแฟคั่วเข้ม คั่วอ่อนต่างกันอย่างไร ทำไมถึงต่าง

กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast) : เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลอ่อน ผิวแห้ง

เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนจะมีเอกลักษณ์อยู่ที่ความเปรี้ยวและความหวานของผลไม้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เพราะยังไม่ถูกความร้อนทำลายไปจากการคั่ว นอกจากนี้เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนยังมีความหอมของผลไม้และดอกไม้ที่เป็นลักษณะเฉพาะของสถานที่ปลูกเมล็ดกาแฟนั้นๆ อีกด้วย

          เคล็ดลับที่จะทำให้เราดื่มด่ำไปกับกาแฟประเภทนี้ได้นั้นอยู่ที่การนำมาชงดื่มร้อนๆ โดยไม่ใส่นมหรือน้ำตาล วิธีนี้จะช่วยดึงลักษณะเด่นของกาแฟคั่วอ่อนออกมาด้วยรสชาติเปรี้ยวนิดๆ อมหวานหน่อยๆ ซึ่งถือเป็นรสชาติของกาแฟที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว

การคั่วของเมล็ดกาแฟ ทำให้รสชาติแตกต่างกันอย่างไร

กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast) : เมล็ดกาแฟเฉดสีน้ำตาลกลางไปถึงเข้ม ผิวแห้ง

ในการคั่วกาแฟ ยิ่งกาแฟโดนความร้อนหรือคั่วนานเท่าไหร่ รสชาติความเป็นผลไม้ของเมล็ดกาแฟอย่างความเปรี้ยวหรือความหวานจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ เพียงแต่ว่ากาแฟคั่วกลางนั้น รสชาติของผลไม้เหล่านี้จะยังไม่หายไปจนหมดเสียทีเดียว แต่จะทำให้ตัวเมล็ดกาแฟเริ่มมีกลิ่นหอมที่เข้มข้นขึ้น ออกไปทางช็อคโกแลตหรือถั่ว (Nutty and Chocolaty)

          เมล็ดกาแฟคั่วกลางนี้เป็นที่นิยมมาก เพราะด้วยบอดี้ (Body) ของกาแฟที่ค่อนข้างหนักแน่น (Full Body) ซึ่งคำว่า บอดี้ (Body) หมายถึงรสสัมผัสเวลาดื่ม เช่น เปรียบเทียบระหว่างนมกับน้ำเปล่า เวลาดื่มนมเราจะได้รสสัมผัสที่หนักกว่าน้ำเปล่า ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า นมมีบอดี้ (Body) สูงกว่าน้ำเปล่านั่นเอง และเนื่องจากกาแฟคั่วกลางมีบอดี้ (Body) ที่ดีนี่เอง เมื่อผสมนมเข้าไป ก็จะทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมถูกปากคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมนู Espresso with milk ทั้งหลาย เช่น Latte, Cappuccino ฯลฯ นอกจากนี้เพื่อรสสัมผัสที่หนักแน่นและชัดเจนมากยิ่งขึ้น จึงเหมาะกับการดื่มร้อนๆ ที่สุดนั่นเอง

ระดับการคั่วของกาแฟ แตกต่างกันอย่างไร

ข้อแตกต่างระหว่างกาแฟคั่วทั้ง 3 ระดับ คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม

กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast) : เมล็ดกาแฟสีเข้มจัดจนเกือบดำ และมีน้ำมันเคลือบผิวกาแฟจนเป็นเงา

การคั่วลึกจนถึงระดับนี้ จะทำให้เมล็ดกาแฟสูญเสียรสชาติแบบผลไม้ไป แต่จะแทนที่ด้วยกลิ่นหอมไหม้ พร้อมทั้งรสชาติที่ขมและเข้มเพิ่มเข้ามา นอกจากนี้การคั่วเข้มแบบนี้ จะทำให้เซลลูโลสในกาแฟโดนทำลายไปเรื่อยๆ จนเซลลูโลสระเหยออกมากลายเป็นน้ำมันเคลือบผิว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเมล็ดกาแฟคั่วเข้มอีกด้วย

          เนื่องด้วยความเข้มข้นของเมล็ดกาแฟคั่วเข้มนี้เอง เราจึงนิยมนำมาชงเป็นกาแฟเย็นที่ผสมนมหรือครีมข้นหวาน กลายเป็นเมนูกาแฟเย็น หรือเมนูกาแฟปั่น ที่ทั้งหวาน มัน และมีกลิ่นหอมชัดเจนนั่นเอง